skip to main |
skip to sidebar
Natural Facial Mask
การมาสก์หน้า เป็นขั้นตอนหนึ่งของการทำทรีตเมนต์บำรุงผิว ให้ผิวได้พักผ่อน และดูดซึมคุณค่าจากสารบำรุงที่เราพอกลงบนผิว ควรทำเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้ผิวหน้าเนียนนุ่มมีชีวิตชีวา โดยเฉพาะสารบำรุงจากธรรมชาติ มีของ อร่อยหลายๆ อย่างที่จะไม่ทำให้เกิดอาการแพ้แก่ผิวหน้าเรา ว้าว...ชักจะเริ่มมองเห็นประโยชน์ของการมาสก์หน้ากันแล้วสิ คุณสาวๆ คงต้องลองทำอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ครั้ง เพื่อให้ผิวหน้าได้ดูดซึมสารอาหารอย่างต่อเนื่อง จะได้มีผิวหน้านุ่มๆ เอาไว้อวดความสวยใส ชนิดที่ใครๆ ต้องเหลียวมอง
สูตรน้ำผึ้ง : ล้างหน้าให้สะอาด เช็ดให้แห้ง แล้วใช้ปลายนิ้วแตะน้ำผึ้งลูบไล้บนใบหน้าและลำคอเบาๆ สักครู่ แล้วนวดหน้าด้วยปลายนิ้วอย่างแผ่วเบาประมาณ 5 นาที จนน้ำผึ้งเหนียวนวดต่อไปไม่ได้แล้ว ก็ปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที ระหว่างนั้นให้นอนพักศีรษะอยู่ต่ำกว่าระดับปลายเท้า เพื่อให้เลือดไหลมาหล่อเลี้ยงที่ใบหน้าและลำคอได้สะดวกยิ่งขึ้น เมื่อครบเวลาแล้วค่อยๆ ใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นเช็ดน้ำผึ้งออกให้สะอาด
สูตรแอปเปิ้ล : ปอกแอปเปิ้ลคว้านเอาไส้และเมล็ดออก บดให้ละเอียด ขณะที่บดให้ผสมน้ำผึ้งลงไปด้วย เมื่อบดจนเข้ากันดีแล้ว นำมาพอกหน้าทิ้งไว้ 20 นาที แล้วใช้นมสดเย็นๆ ล้าง ตามด้วยน้ำสะอาดอีกที
สูตรแตงโม : ฝานแตงโมเป็นชิ้นบางๆ จากส่วนที่แดงที่สุด นำมาแปะให้ทั่วใบหน้าแล้วใช้ผ้าคลุมหน้าไว้ ทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น
สูตรไข่ขาว : ต่อยไข่ไก่ 1 ฟอง แยกไข่แดงออกเทเฉพาะไข่ขาวลงในถ้วย ใช้ส้อมตีไข่ขาวจนเป็นฟองพอสมควร แล้วใช้แปรงขนนุ่มจุ่มไข่ขาวทาให้ทั่วใบหน้าและลำคอทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาที หรือพอไข่ขาวเริ่มจับตัวแข็งแล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น
สูตรมะเขือเทศ : ฝานมะเขือเทศชิ้นหนาๆ ถูให้ทั่วใบหน้าและลำคอเบาๆ ตรงบริเวณที่มีสิวเสี้ยน มะเขือเทศมีวิตามินซีและกรด AHA จะช่วยลอกผิวหน้าที่ตายแล้วให้หลุดออกได้ หลังจากนั้นจึงค่อยใช้สำลีชุบน้ำเย็นเช็ดมะเขือเทศออกให้สะอาด
สูตรโยเกิร์ต : สำหรับทุกสภาพผิว โยเกิร์ตรสธรรมชาติ 1/2 ถ้วย น้ำมันดอกทานตะวัน 1 ช้อนโต๊ะ น้ำมะนาวคั้นสดๆ 1 ช้อนโต๊ะ นำส่วนผสมทั้งหมดมาผสมให้เข้ากันแล้วพอกทั้งหน้า ทิ้งไว้ 15–20 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาดจะช่วยทำความสะอาดผิวหน้าได้อย่างล้ำลึกและบำรุงผิวให้ชุ่มชื้น
***ข้อควรระวัง! หากมีอาการคันหรือระคายเคืองระหว่างการมาสก์ให้หยุดขั้นตอนการทำแล้วรีบล้างหน้า ด้วยน้ำสะอาดทันที
Padina Pavonica : สาหร่ายทะเลสีน้ำตาล ช่วยฟื้นฟูเนื้อเยื่อของผิวที่เสื่อมสภาพ โดยการเสริมความแข็งแรงให้กับผิวตามธรรมชาติของร่างกายช่วยควบคุมการส่งต่อสารอาหารและความชุ่มชื้นของผิวหรือที่เรียกว่า Cellular Communication มีส่วนสำคัญในการดูแลผิวให้ดูมีสุขภาพดี เพราะช่วยเสริมการทำงานของการผลิตไขมันบนผิวที่มีหน้าที่เก็บกักความชุ่มชื้นบนผิว ซึ่งมีผลให้ผิวดูสดชื่น และทนต่อทุกสภาพแวดล้อมในทุกวัน อ่านเพิ่มเติมได้จาก :http://women.mthai.com/views_Beauty-Tip-Trick_11_44_39514_1.women
น้อยใจ....อาการอ่อนแอของจิตใจที่ไม่ได้รับการตอบสนอง
ยามที่เกิดความต้องการให้คนเอาใจ
วิธีแก้--อย่าเอาแต่ใจ
เจ็บใจ ....อาการเป็นพิษของจิตใจที่ลามมาจากหาง เวลามีใครมาเหยียบมัน
วิธีแก้---ตัดหางทิ้งซะ อย่ายกหางตัวเอง
ละอายใจ.....อาการใฝ่ดีของจิตใจ ที่ออกมาชี้หน้าด่าเรา
ข้อแนะนำ---เมื่อละชั่วได้ ก็ไม่อายแก่ใจ
เสียใจ.....อาการวูปทางจิตใจ เกิดจากความไม่มั่นคง
เพราะชอบเอาใจไปผูกเอาไว้กับสิ่งอื่น
วิธีแก้---ตัดใจซะสิ อย่าไปผูกมันไว้
ใจหาย.....อาการนี้ชื่อก็บอกอยู่แล้ว
วิธีแก้---หายใจเข้าสิ หายใจลึกๆ แล้วจะเลิกใจหาย
หลายใจ....อาการสืบพันธุ์ของจิตใจโดยการแบ่งตัว
นำไปสู่อาการน้อยใจแก่คนรอบข้างได้ในเวลาต่อมา
วิธีแก้----ระลึกไว้ มีแต่พวกอะมีบาที่ใช้วิธีแบ่งแบบนี้
ทำใจ.....อาการที่แปลกที่สุดของใจ ยิ่งทำมากเท่าไร ใจยิ่งว่างเท่านั้น
ข้อแนะนำ----ทำทุกครั้ง ทำบ่อยๆ ค่อยๆ ทำ
อ่านเพิ่มเติมได้จาก:http://webboard.yenta4.com/topic/317262
อย่าคิดว่าเล็บไม่มีความสำคัญ เห็นเป็นแค่ส่วนเกินของนิ้วมือเท่านั้น
เล็บมีส่วนประกอบหลักของสารโปรตีนประเภท "เคราติน" (Keratin) ในคนที่มีสุขภาพปกติ เล็บจะมีสีชมพูอ่อนๆ เสมอกัน เนื้อเล็บแข็ง เรียบ ลื่น แต่ถ้าเล็บเริ่มมีรูปร่างหรือสีแปลกไป อาจเป็นสัญญาณเตือนว่า อาจเกิดความผิดปกติหรือโรคภัยบางอย่าง
ในคอลัมน์สุขภาพ "Happy health" นิตยสาร "BE" ฉบับล่าสุด แนะวิธีสังเกตเล็บมือดังนี้
1.เล็บมีลักษณะสีขาวเป็นแผ่นตรงกลาง
อาจมีความผิดปกติกับตับ หรือมีโรคที่เกี่ยวกับการทำงานของตับผิดปกติ
2.เล็บมีลักษณะหนากว้าง โค้งมนตามลักษณะของปลายนิ้วที่โตขึ้นและมีสีม่วงคล้ำ ลักษณะแบบนี้พบมากในผู้ป่วยโรคหัวใจ โรคตับ และโรคท้องเสียเรื้อรัง
3.เล็บมีลักษณะเป็นหลุม ขรุขระ ไม่เรียบเกลี้ยงเกลา
อาจเป็นโรคผิวหนังที่เรียกว่า สะเก็ดเงิน หรือเรื้อนกวาง เพราะลักษณะแบบนี้จะพบในผู้ป่วยโรคผิวหนังถึง 70%
4.เล็บมีลักษณะขาวซีด อ่อน แบนและบุ๋ม
ลักษณะแบบนี้พบมากในคนที่ขาดธาตุเหล็ก ซึ่งมักจะเป็นโรคโลหิตจาง
5.เล็บมีลักษณะเป็นสีเหลือง
ถ้าพบลักษณะแบบนี้ในเล็บบนนิ้วมือที่ถนัด อาจเป็นเพราะสารนิโคตินที่มาจากบุหรี่เกาะบนเล็บที่ใช้คีบบุหรี่ ลักษณะนี้จะพบมากในผู้ป่วยโรคปอด
6.เล็บมีลักษณะเป็นจุดหรือเส้นสีม่วงที่เกิดจากเส้นเลือดฝอยแตก
จะพบมากในผู้ป่วยโรคลิ้นหัวใจอักเสบ โรคลิ้นหัวใจตีบ โรคหลอดเลือดอักเสบ และโรคขาดวิตามินซี
7.เล็บมีลักษณะเป็นดอกหรือจุดขาวๆ หรือเป็นเสี้ยวพระจันทร์
อาจขาดสารอาหารบางอย่างที่ทำให้เซลล์สร้างเล็บได้ไม่สมบูรณ์ หรือกำลังมีปัญหาสุขภาพ อาจจะมีโรคภายในที่ทำให้เจ็บป่วยหนักขึ้น
8.เล็บมีลักษณะสีดำ
ส่วนมากพบในคนที่ขาดวิตามินบี 12 และในผู้ป่วยโรคลำไส้ผิดปกติ อาจมีจุดดำๆ เกิดขึ้นตามเนื้อเยื่อของลำไส้เยื่อบุปากและริมฝีปาก
ต่อไปเวลาตัดเล็บ อย่าลืมสังเกตความผิดปกติของสีเล็บด้วยทุกครั้ง
เดี๋ยวนี้ไม่ว่าผู้หญิง หรือผู้ชายก็เริ่มที่จะใส่ใจดูแลผิวกันทุกคน และครีมบำรุงผิวนั้น ก็เป็นอีกหนึ่งตัวช่วย ที่ทำให้ผิวของคุณดูสดใส เปล่งปลั่งขึ้น ซึ่งแต่ละคนมีวิธีการทาครีมที่แตกแต่งกัน วันนี้เราก็จะมาบอกวิธีการทาครีมอย่างถูกวิธีที่จะช่วยทำให้ผิวของคุณสวยขึ้นได้มาฝากกัน.....
ทำความสะอาดผิวหน้าให้หมดจด แล้วเลือกปริมาณครีมที่ต้องใช้ให้พอเหมาะตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญด้านความงาม เพราะถ้าน้อยเกินไป ก็จะไม่ได้ประสิทธิภาพเท่าที่ควร หรือถ้ามากเกินไป ก็จะทำให้ผิวหน้ามันเกินไป และก็เปลืองโดยใช่เหตุ ซึ่งส่วนใหญ่จะประมาณ 1 ข้อมือหรือ 1 ลูกเชอรี่
เริ่มแต้มครีมที่บริเวณ 5 จุด ของใบหน้า คือ หน้าผาก จมูก แก้มทั้งสองข้าง และคาง
ใช้นิ้วกลางและนิ้วนาง ในการเกลี่ยบริเวณที่กว้างที่สุดก่อน เช่น โหนกแก้ม โดยเริ่มจากส่วนกลางไปยังส่วนข้างๆ โดยทางด้านซ้ายออกซ้าย และทางด้านขวาออกขวา แล้วตามด้วยแนวสันจมูก ใต้โพรงจมูก คาง และหน้าผาก โดยเว้นบริเวณรอบดวงตาไว้ เพราะอาจจะต้องใช้ครีมชนิดเฉพาะรอบดวงตาทาแทน
การลงน้ำหนักนิ้ว ควรจะเบาที่สุด เพราะผิวหน้าเป็นผิวที่บอบบาง ควรได้รับการทะนุทะนอม ถ้าลงน้ำหนัก แรงเกินไป อาจจะทำให้เกิดรอยย่นในภายหลังได้
การทาครีมรอบดวงตา ควรใช้ปริมาณเนื้อครีมประมาณ 1 เมล็ดถั่วเขียว แล้วใช้นิ้วนางเพียงนิ้วเดียวในการทา เพราะจะน้ำหนักกดเบาที่สุด แล้วทาครีมไล่ตามแนวโครงกระดูกเบ้าตา อาจจะเริ่มที่หัวตาหรือหางตาก่อนก็ได้ แล้ววนครีมรอบๆ ดวงตาจะวนเข้าหรือวนออกก็ได้ตามถนัด แต่ต้องวนไปในทิศทางเดียวกันทั้งสองข้าง
การทาครีมบริเวณลำคอ ควรใช้ปริมาณเนื้อครีมเท่ากับที่ใบหน้า โดยเริ่มทาจากบริเวณที่กว้างที่สุดของลำคอก่อนคือ บริเวณฐานลำคอแล้วใช้ปลายนิ้วทั้งหมดค่อยๆ ลูบไล้ขึ้น ไม่ควรทาลงนะครับ เพราะจะทำให้ผิวบริเวณลำคอหย่อนยานไปตามแนวโน้มถ่วงของโลก ทำให้เกิดรอยย่นภายหลังได้
การทาครีมบริเวณหน้าอก อาจจะใช้ครีมที่เหลือจากลำคอ ทาลูบไล้ในช่วงอกต่อไปได้ โดยการใช้ปลายนิ้วลูบไล้เพียงเบาๆ และวนให้ทั่วแผ่นอก เพื่อการซึมซับของเนื้อครีมสู่ผิว แล้วค่อยไล่ทาไปที่หน้าท้องและส่วนหลัง
การทาครีมบริเวณแขน จะเริ่มต้นที่ต้นแขนด้านท้องแขนก่อน แล้วทาวนขึ้นหลังแขน โดยการใช้ปลายนิ้วลูบไล้เพียงเบาๆ เพื่อการซึมซับของเนื้อครีมสู่ผิว
การทาครีมบริเวณขาและเท้า จะเริ่มต้นที่ต้นขาก่อน แล้วทาวนจากด้านต้นขาไปปลายขา โดยการใช้ปลายนิ้วลูบไล้เพียงเบาๆ เพื่อการซึมซับของเนื้อครีมสู่ผิว โดยควรจะเน้นบริเวณหน้าแข้งสองข้างให้มาก เพราะบริเวณนี้จะแห้งได้ง่าย ส่วนบริเวณเท้าควรทาทั้งสองด้าน คือ หลังเท้าและฝ่าเท้า พร้อมทำการนวดไปทั่วอุ้งเท้า เพื่อผ่อนคลายและเพิ่มการไหลเวียนโลหิต
อ่านเพิ่มเติมได้จาก: http://webboard.yenta4.com/topic/333932
หลายคนคงจะเคยลองลิ้มชิมรสกับอาหารญี่ปุ่นกันบ้างแล้ว และหลายคนก็คงจะได้ลองสัมผัสกับความฉุนของเจ้า "วาซาบิ" ที่ถือว่าเป็นเครื่องปรุงอย่างหนึ่งของอาหารญี่ปุ่นกันแล้ว บางคนอาจจะหลงใหลในรสฉุนดังกล่าว บางคนอาจจะร้องยี้ แต่รู้หรือไม่คะว่า ในวาซาบิที่คุณเขี่ยให้ห่างเวลาทานอาหารญี่ปุ่นนั้น มีประโยชน์มากมาย ที่นอกจากจะช่วยทำให้โล่งจมูกและอาจช่วยป้องกันโรคมะเร็งแล้ว ยังอาจจะช่วยป้องกันฟันผุได้ด้วย
นายฮิเดกิ มาซูดะ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยของบริษัท โอกาวะ ผู้ผลิตเครื่องปรุงรส ของญี่ปุ่น กล่าวว่า สารประกอบทางเคมีในวาซาบิ นอกจากทำให้วาซาบิ มีรสชาด และกลิ่นรุนแรงแล้ว ยังสามารถยับยั้งการเจริญเติบโต ของเชื้อจุลินทรีย์ ที่เป็น ต้นเหตุของฟันผุ โดยวาซาบิประกอบด้วย ไอโซทิโอไซยาเนตส์ ซึ่งนักวิจัยพบว่า สามารถยับยั้งการผลิตเอนไซม์ ที่มีส่วนสำคัญ ในการก่อตัวของหินปูน ก่อนหน้านี้ วาซาบิ เคยมีชื่อเสียงในเรื่องของการป้องกันเลือดจับตัวเป็นก้อน ลดความเสี่ยง ต่อการเป็นมะเร็ง และป้องกันโรคหอบหืด
อ่านพิ่มเติมได้จาก : http://women.mthai.com/views_health_11_47_38311_1.women