วันอาทิตย์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ธรรมะรับปีใหม่ .. 4 ข้อ

1. อย่าเป็นนักจับผิด
คนที่คอยจับผิดคนอื่น แสดงว่า หลงตัวเองว่าเป็นคนดีกว่าคนอื่น ไม่เห็นข้อบกพร่องของตนเอง "กิเลสฟูท่วมหัว ยังไม่รู้จักตัวอีก"

คนที่ชอบจับผิด จิตใจจะหม่นหมอง ไม่มีโอกาส "จิตประภัสสร"
ฉะนั้น จงมองคน มองโลกในแง่ดี "แม้ในสิ่งที่เป็นทุกข์ ถ้ามองเป็น ก็เป็นสุข"

2. อย่ามัวแต่คิดริษยา
" แข่งกันดี ไม่ดีสักคน ผลัดกันดี ได้ดีทุกคน"
คนเราต้องมีพรหมวิหาร 4 คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา
คนที่เราริษยาเป็นการส่วนตัว มีชื่อว่า "เจ้ากรรมนายเวร" ถ้าเขาสุข เราจะทุกข์ ฉะนั้น เราต้อง ถอดถอน
ความริษยาออกจากใจเรา เพราะไฟริษยา เป็น "ไฟสุมขอน" (ไฟเย็น) เราริษยา 1 คน เราก็มีทุกข์ 1 ก้อน
เราสามารถถอดถอนความริษยาออกจากใจเราโดยใช้วิธี "แผ่เมตตา" หรือ ซื้อโคมมา แล้ว
เขียนชื่อคนที่เราริษยา แล้วปล่อยให้ลอยไป


3. อย่าเสียเวลากับความหลัง
90% ของคนที่ทุกข์ เกิดจากการย้ำคิดย้ำทำ "ปล่อยไม่ลง ปลงไม่เป็น"
มนุษย์ที่สลัดความหลังไม่ออก เหมือนมนุษย์ที่เดินขึ้นเขาพร้อมแบก
เครื่องเคราต่างๆ ไว้ที่หลังขึ้นไปด้วย

ความทุกข์ที่เกิดขึ้นแล้ว จงปล่อยมันซะ "อย่าปล่อยให้คมมีดแห่งอดีต มากรีดปัจจุบัน"
" อยู่กับปัจจุบันให้เป็น" ให้กายอยู่กับจิต จิตอยู่กับกาย คือมี "สติ" กำกับตลอดเวลา

4. อย่าพังเพราะไม่รู้จักพอ
" ตัณหา" ที่มีปัญหา คือ ความโลภ ความอยากที่ เกินพอดี เหมือนทะเลไม่เคยอิ่มด้วยน้ำไฟไม่เคยอิ่มด้วยเชื้อธรรมชาติของตัณหา คือ " ยิ่งเติมยิ่งไม่เต็ม"

ทุกอย่างต้องดูคุณค่าที่แท้ ไม่ใช่ คุณค่าเทียม เช่น คุณค่าที่แท้ของนาฬิกา คืออะไร คือ ไว้ดูเวลา ไม่ใช่มีไว้ใส่เพื่อความโก้หรู คุณค่าที่แท้ของโทรศัพท์มือถือ คืออะไร คือไว้สื่อสาร แต่องค์ประกอบอื่นๆที่เสริมมาไม่ใช่คุณค่าที่แท้ของโทรศัพท์

เราต้องถามตัวเองว่า "เกิดมาทำไม" " คุณค่าที่แท้จริงของการเกิดมาเป็นมนุษย์อยู่ตรงไหน"
ตามหา "แก่น" ของชีวิตให้เจอ


คำว่า "พอดี" คือ ถ้า "พอ" แล้วจะ "ดี" รู้จัก "พอ" จะมีชีวิตอย่างมีความสุข

จากท่าน ว.วชิรเมธี

อ่านเพิ่มเติมได้จาก:
http://webboard.yenta4.com/topic/277291

วันอาทิตย์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2552

สบู่เหลวที่ใช้ปลอดภัยจริงหรือ ??


เดี๋ยวนี้สบู่เหลวได้รับความนิยมยิ่งขึ้น ด้วยเหตุผลของความสะดวกสบายเป็นสำคัญ แต่คุณรู้ไหมว่า สบู่เหลวที่เราใช้กันอยู่นั้นไม่ใช่สบู่ แต่เป็นสารเคมีล้วนๆ!

สบู่เหลวที่ดีจริงๆจะต้องมีส่วนผสมของเนื้อสบู่อย่างน้อย 25 เปอร์เซ็นต์ แล้วที่เหลือเป็นน้ำ
แต่ความเป็นจริงแล้วไม่มีสบู่เหลวแบบนี้วางขายอยู่เลย เพราะผลิตภัณฑ์เกือบทุกชนิดที่วางขายอยู่นั้น เป็นแค่ใช้สารซักฟอกหรือดีเทอเจนผสมกับสารเคมีสังเคราะห์อื่นๆแล้วทำให้อยู่ในรูปของเหลว ซึ่งสารซักฟอกหรือดีเทอเจน ก็คือสารเคมีหลักที่ใช้ในการผลิตแชมพู น้ำยาล้างจาน น้ำยาทำความสะอาดพื้น หรือแม้แต่น้ำยาทำความสะอาดห้องน้ำนั่นเอง จะผิดกันก็แต่ว่าความเข้มข้นของสารซักฟอกที่ใช้ทำสบู่เหลวมีความเจือจางกว่าเท่านั้น

ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้สบู่เหลว
คงไม่เกิดขึ้นในฉับพลันทันที แต่จะสะสมเป็นปัญหาในระยะยาวได้ เพราะสารเคมีเหล่านี้จะแทรกซึมลงไปในผิวหนัง อวัยวะภายใน และกระแสเลือดได้ทุกครั้งที่เราอาบน้ำ SLS หรือ โซเดียมลอริลซัลเฟต เป็นตัวอย่างหนึ่งของสารเคมีหลักที่มักใช้ในสบู่ (คุณลองไปพลิกพวกผลิตภัณฑ์ซักล้างทุกอย่างดูจะเห็นส่วนผสมนี้จริงๆ บางทีใช้ชื่อว่าลอริล) และเป็นสารเคมีอันตราย หลายประเทศในยุโรปและอเมริกามีกฏหมายห้ามใช้แล้ว และบางประเทศก็จำกัดให้มีการใช้น้อยลง

แต่ในบ้านเรากลับใช้กันอย่างแพร่หลาย ทั้งๆที่SLS เป็นสารเคมีที่ดูดซึมผ่านผิวหนังได้ง่ายและรวดเร็ว สามารถสะสมอยู่ในดวงตา สมอง หัวใจ ตับ และก่อปัญหาในระยะยาว หากยิ่งมีการใช้ร่วมกับสารประกอบตระกูลอามีน
ก็จะกลายเป็นสารก่อมะเร็งในที่สุด

เพราะฉะนั้น
เราอาจต้องถามตัวเองดูใหม่ ว่ามีความจำเป็นแค่ไหนที่จะต้องใช้สบู่เหลว (ซึ่งจริงๆแล้วคือสารเคมีล้วนๆ) แต่ถ้ายังคงต้องการที่จะใช้ การใช้สบู่เหลวสำหรับเด็กก็จะดีกว่า (ไม่ได้หมายความว่าปลอดภัย เพียงแต่มีสารเคมีเจือจางกว่าเท่านั้น)

**แต่ถ้าจะให้ดี การกลับไปใช้สบู่ก้อนจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด **
อ่านเพิ่มเติมได้จาก : http://women.mthai.com/views_health_11_47_3432_1.women

วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2552

วันเสาร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2552

สิ่งที่ไม่ควรลืม เพื่อชีวิตที่มีสุข :)



ทุกเช้า ก่อนออกจากบ้าน อย่าลืม คิดถึงสิ่งที่ต้องใช้ ในชีวิตประจำวันเหล่านี้ด้วย **

1. เครื่องประดับที่สวยที่สุดบนเรือนร่าง คือ ... รอยยิ้ม ...

2. งานที่ทำแล้วพอใจที่สุด คือ ... การช่วยเหลือผู้อื่น ...

3. ความสุขที่สุด คือ ... การให้ ...

4. อาวุธร้ายแรง ที่ต้องระวัง และเก็บรักษาให้ดีที่สุด คือ ... คำพูดทำร้ายผู้อื่น ...

5. พลังยิ่งใหญ่ที่สุด ที่ทำให้ทุกอย่างสำเร็จ คือ ... ความรัก ...

6. ความสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือ ... การทำร้ายตัวเอง ...

7. ปัญหาที่ใหญ่ที่สุด ที่จะต้องเอาชนะให้ได้ คือ ... ความกลัว ...

8. ยานอนหลับที่ให้ผลดีที่สุด คือ ...ความสงบภายในใจ ...


อ่านเพิ่มเติมได้จาก : http://webboard.yenta4.com/topic/352859

วันอังคารที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2552

การแปรงฟันให้ถูกวิธี ^o^



การแปรงฟันให้ถูกวิธี
มีหลายคนที่มักจะละเลยการแปรงฟัน โดยหารู้ไม่ว่าความสะอาดในช่องปากนั้นก็มีส่วนสำคัญ เพราะมันอาจส่งผลต่ออวัยวะส่วนอื่นได้ เราจึงมีวิธีแปรงฟันที่ถูกต้องมาฝากกัน

โดยควรแปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง ให้ใช้แปรงสีฟันที่มีขนนิ่ม ไม่ใช้แปรงที่มีขนแปรงแข็งมาก เพราะจะทำให้ฟันสึกเร็ว ขนาดของหัวแปรงควรมีขนาดที่พอดีที่จะเข้าถึงทุกซอกทุกมุมของฟันได้ง่ายๆ และต้องให้ความสำคัญของการแปรงที่ถูกวิธีและทุกๆ ตำแหน่งของซี่ฟัน

วิธีแปรงฟัน

-วางแปรงเอียง 45 องศา กับเหงือก

-ฟันบนปัดลงล่าง ฟันล่างปัดขึ้นบน

-แปรงให้ครบทุกด้านของฟัน ด้านหน้า ด้านใน และด้านบดเคี้ยว

-ด้านในของฟันหน้าใช้วิธี ลากแปรงผ่านผิวของฟัน

-อย่าลืมแปรงลิ้น ช่วยลดการสะสมของ Bacteria ที่ลิ้น ลดกลิ่นปากได้อย่างดี

การดูแลแปรงสีฟัน

คุณทราบบ้างไหมว่า Bacteria สะสมและเจริญเติบโตที่บริเวณแปรงสีฟันหลังจากเราใช้มัน ดังนั้นควรมีแปรงสีฟันของตนเองไม่ควรใช้ร่วมกับคนอื่น เพราะมีการกระจายเชื้อจากคนหนึ่งไปอีกคนหนึ่งได้ เมื่อแปรงฟันเสร็จ ให้ล้างขนแปรงด้วยน้ำเพื่อล้างยาสีฟัน และเศษอาหารที่ค้างอยู่ หลังจากล้างต้องวางแปรงให้ขนแปรงตั้งขึ้นให้แห้งโดยลม และควรเปลี่ยนแปรงทุก 3-4 เดือน


สิ่งที่ไม่ควรทำ

-เรามักชินกับวิธีการแปรงฟันสีเข้าสีออกลักษณะเหมือนเลื่อยไม้ หรือจะชินกับการแปรงฟันถูขึ้นลงไปโดยเฉพาะบริเวณฟันหน้า

-ไม่แปรงแบบเลื่อยฟัน จะทำให้คอฟันสึก

-ไม่แปรงสวนทางกับเหงือก เพราะทำให้เหงือกร่น

-ไม่ใช้แปรงสีฟันจนขนแปรงบานออก

-ไม่ควรเก็บแปรงในภาชนะปิด เพราะความชื้นทำให้แบคทีเรียที่ขนแปรงเจริญได้ดีกว่า เก็บแปรงในที่ภาชนะเปิดถูกอากาศ

การแปรงฟันอยากคิดว่าเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แต่เป็นเรื่องที่ต้องพิถีพิถันกันมากกว่าครับ หากแปรงถูกวิธีอย่างสม่ำเสมอเชื่อแน่ว่าคุณจะมีสุขภาพช่องปากที่แข็งแรง และยิ้มอย่างมีความสุขแน่นอน

อ่านเพิ่มเติมได้จาก: http://health.kapook.com/view3688.html

วันพฤหัสบดีที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2552

โยเกิร์ต มีประโยชน์มากมาย o0^



โยเกิร์ต เป็นอาหารที่ดูดีมีชาติตระกูล เหมาะกับสาวรุ่นใหม่อย่างเราเป็นที่สุด แต่เบื้องหลังหน้าตาสวยใส โยเกิร์ตยังมีความลับที่คุณอาจยังไม่รู้
-คนที่ท้องเสียเป็นเพราะมีเชื้อจุลินทรีย์อยู่ในลำไส้ แต่เชื้อจุลินทรีย์ในโยเกิร์ตเกิดมาเพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรียชนิดเลวทั้งหลาย การกินโยเกิร์ตจึงทำให้อาการท้องเสียของคุณทุเลาอย่างรวดเร็ว ทำให้ถ่ายน้อยลงหรือหยุดถ่าย
- โยเกิร์ตมีไขมันชื่อคอนจูเกตเต็ดไลโนเลอิก ช่วยป้องกันโรคหัวใจ
-โยเกิร์ตไขมันต่ำ 1 ถ้วย เป็นแหล่งรวมของสารอาหารถึง 11 ชนิด และแต่ละชนิดก็เป็นตัวแม่สำหรับร่างกายทั้งนั้น อย่างไอโอดีน แคลเซียม ฟอสฟอรัส วิตามินบี 2 โปรตีน วิตามินบี 12 ทริปโทฟาน โพแทสเซียม โมลิปเดนัม สังกะสี และวิตามินบี 5 คนที่กินโยเกิร์ตเป็นประจำถึงได้อายุยืนแถมแข็งแรง
-ถึงแม้จะทำมาจากนม แต่โยเกิร์ตให้โปรตีนและแคลเซียมสูงกว่านมธรรมดา เพราะลำไส้ของเราย่อยนมไม่ได้ แต่สำหรับโยเกิร์ตกลับทำได้ชิลๆ เพราะในโยเกิร์ตมีกรดแลกติกที่จะช่วยย่อยแคลเซียมให้เล็กลง ทำให้ร่างกายดูดซึมไปใช้ได้


-จุลินทรีย์ทั่วไปอาจทำร้ายร่างกายแต่แลคโตบาสิลัสในโยเกิร์ตเป็นจุลินทรีย์ชนิดดีที่ร่างกายต้องการ มันจะไปหยุดการเจริญเติบโตของเชื้อ "เฮลิโคแบคเตอร์ เอชไพโลไร" ที่ทำให้เกิดโรคกระเพาะ ลดการอักเสบของลำไส้และไขข้อ แถมยังทำตัวเป็นนักปราบปรามจุลินทรีย์ที่จะทำให้คุณเป็นมะเร็งปากมดลูก ช่วงที่มีรอบเดือนผู้หญิงจึงควรทานโยเกิร์ตเป็นประจำ
-แคลเซียมสูงที่ได้จากโยเกิร์ตจะทำให้เป็นสาวกระดูกเหล็ก ช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุน ความดันสูง มะเร็งลำไส้ และยังกระตุ้นระบบเผาผลาญทำให้คุณผอมเองโดยไม่ต้องเหนื่อย
-ทำให้ปากสะอาด กำราบกลิ่นปากและโรคเหงือก
-เพิ่มภูมิต้านทานให้ร่างกาย เพราะแบคทีเรียในโยเกิร์ตทำให้ร่างกายสังเคราะห์วิตามินเคและบีในลำไส้ได้ดีขึ้น


การทาน โยเกิร์ต ที่ได้ผลที่สุดควรจะทานโยเกิร์ตรสธรรมชาติที่ไม่มีการแต่งกลิ่นแต่งรสเพิ่มน้ำตาลลงไป แต่ถ้าไม่ชอบความเปรี้ยวของมัน จะเอาไปทานแทนมายองเนสหรือปั่นรวมกับผลไม้ให้เป็นน้ำผลไม้อร่อยๆ ก็เป็นไอเดียที่ดี


อ่านเพิ่มเติมได้จาก:http://women.mthai.com/views_health_11_47_39506_1.women


วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ชีวจิต เพื่อผิวใสไร้สิว^^


เกร็ดสุขภาพฉบับนี้เรามี 5 เคล็ดลับดีๆ กับการรักษาสิวด้วยตัวคุณเองในแบบชีวจิตมาฝากกันค่ะ

1. ปรับอาหารการกินด้วยสูตรชีวจิต ให้ถูกต้อง
ไม่ควร รับประทานแป้งข้าวและของหวานที่ทำจากน้ำตาลทรายขาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งช็อกโกแลต รวมทั้งอาหารประเภทมันๆ และของ ทอดทั้งหลาย
ควร หันมารับประทานผักและผลไม้ให้มาก เพราะมีวิตามินซี วิตามินอี เบตาแคโรทีน แร่ธาตุโครเมียม และคลอโรฟิลล์ เพื่อช่วยปรับ สมดุลของฮอร์โมนเอสโตรเจนในร่างกาย และเลือกรับประทานอาหารที่มีแร่ธาตุสังกะสี ได้แก่ ข้าวซ้อมมือ ขนมปังโฮลวีท อาหารทะเล เป็น ต้น เพื่อช่วยลดการอักเสบและการติดเชื้อของสิว นอกจากนี้ยังทำให้แผลเป็นหายเร็วขึ้น ด้วยการสร้างเนื้อเยื่อใหม่แทนเซลล์ผิวหนังที่เสีย ไป

2. ใช้ดีท็อกซ์ช่วยกำจัดท็อกซิน เพราะการเป็นสิว ย่อมแสดงว่าร่างกายในช่วงนั้นมีเจ้าท็อกซินหรือพิษเกิดขึ้นแล้ว ดังนั้น การทำดีท็อกซ์ ตามหลักชีวจิต เพื่อช่วยขจัดพิษในร่างกาย หลังจากทำดีท็อกซ์เสร็จ ก็เข้าห้องอบไอน้ำหรือ ซาวน่า เพื่อขับพิษออกทางผิวหนังได้อีกทางหนึ่ง ค่ะ

3. ดื่มน้ำสมุนไพรที่ไม่มีน้ำตาล เช่น ลูกใต้ใบ มะตูม หรืออื่นๆ ตามตำราชีวจิต เพราะน้ำจะเป็นตัวพาของเสียสิ่งสกปรกออกไป และจะได้ ประโยชน์จากสมุนไพรแต่ละชนิดอีกด้วย

4. ออกกำลังกายจนเหงื่อออก ช่วยให้เลือดหมุนเวียนดี และทำให้ต่อมไขมันเปิดและพาหัวสิวให้ละลายง่าย ไม่เกิดสิว แต่ที่สำคัญ อย่าลืม ล้างหน้าให้สะอาดทุกครั้งหลังการออกกำลังกาย

5. ทำจิตใจให้สงบ มีอารมณ์สดชื่นแจ่มใส ความผ่อนคลายนี้จะช่วยให้การไหลเวียนของเลือดและน้ำเหลือง รวมทั้งทำให้เม็ดเลือดขาวใน ร่างกายทำงานได้ดีขึ้น


อ่านเพิ่มเติมได้จาก: http://women.mthai.com/views_health_11_47_37864_1.women

วันเสาร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ฟันธงไข่เกิดก่อน "ไก่" แน่ (-_^)


นักวิชาการดึกดำบรรพ์วิทยาเปิดเผยว่า การขุดพบไดโนเสาร์ ดึกดำบรรพ์ ของพิพิธภัณฑ์หลวงเทอเรลล์ ที่เมืองอัลเบอตา ของคานาดา แจ้งว่ารังของไดโนเสาร์ขนาดเล็กพันธุ์หายากชนิดหนึ่ง ช่วยทำให้ ขบปัญหาโลกแตก ที่ถามว่า “ไข่เกิดก่อนไก่ หรือไก่เกิดก่อนไข่”

พวกเขาได้พบรังไดโนเสาร์ชนิดกินเนื้อกับไข่ของมันที่ยังไม่ได้ฟัก สมัยเมื่อ 77 ล้านปีมาแล้ว ที่ชายหาดที่เป็นทรายริมฝั่งแม่น้ำแห่งหนึ่ง คงจะเป็นเพราะระดับน้ำขึ้นที่เอ่อสูงขึ้นมา ทำให้แม่ไดโนเสาร์ต้องทิ้งไข่ที่ยังไม่ทันฟักอยู่ในรังซึ่งกลายเป็นหิน นักวิจัยได้ศึกษารังและบางส่วนของไข่ 5 ฟองพบว่า ตัวรังมีลักษณะคล้ายเนินดิน มีขนาดโตครึ่งเมตรและหนักราว 50 ก.ก.

นายฟรังซัวส์ เทอเรนภัณฑารักษ์แผนกไดโนเสาร์ ดึกดำบรรพ์ แห่งพิพิธภัณฑ์หลวงเทอเรลล์ ที่นครอัลเบอตา ประเทศคานาดา กล่าวว่า ลักษณะการสร้างรังของมัน คล้ายกับของนก มันมีการออกไข่โดย ปล่อยทางปลายด้านแหลมลง และการกกไข่

ทางด้านดาเรีย เวเลนิตสกี้นักวิชาการดึกดำบรรพ์ วิทยา ผู้เป็นนักวิทยาศาสตร์คนแรกที่ ได้วิเคราะห์รังไดโนเสาร์อย่างใกล้ชิด บอกอย่างหนักแน่นว่า แม้จะยังไม่อาจตอบปัญหาโลกแตกเรื่อง “ไก่เกิดก่อนไข่ ไข่เกิดก่อนไข่” แต่จากการตีความโดยไม่เกินความจริง ก็พอจะตอบปฤศณานั้นได้อย่างชัดเจน” ดูจากรังที่พบเห็นได้ว่า ไดโนเสาร์พันธุ์นี้สร้างรังแบบนก และวางไข่อย่างนก มาก่อนเป็นเวลานาน ก่อนที่จะเกิดนกขึ้น โดยที่นกวิวัฒนาการมาจากไดโนเสาร์อีกต่อหนึ่ง”
สรุปว่า “ดังนั้น ไข่ต้องเกิดก่อนไก่แน่นอน”
อ่านเพิ่มเติมได้จาก :
http://webboard.yenta4.com/topic/274585

วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

มาบริหารสมองกันเถอะ ..

บริหาร
บริหารสมองแบบ “นิวโรบิกส์ เอ็กเซอร์ไซส์”

รู้หรือไม่ สมองก็ต้องการออกกำลังกายไม่แพ้ร่างกายเหมือนกัน เพื่อให้สมองสามารถทำงานได้คล่องแคล่ว ฉับไว คิดได้เร็ว มีความจำดี ยิ่งอายุมากขึ้นยิ่งต้องให้ความสำคัญ


การบริหารสมองสามารถทำได้ตั้งแต่เดี๋ยวนี้ ยิ่งหมั่นบริหารบ่อย ๆ เท่าไหร่ การทำงานของสมองก็จะเสื่อมช้า ไม่เป็นโรคสมองเสื่อม หรือโรคอัลไซเมอร์ ก็เหมือนร่างกายของคนเรานั่นเอง หากออกกำลังกายเป็นประจำ ก็จะทำให้มีภูมิต้านทานที่แข็งแรง ไม่เจ็บป่วยง่าย

ดังนั้นวิธีการป้องกันการเกิดภาวะสมองเสื่อมที่ดีที่สุด คือการรักษาความดันโลหิต อย่าให้มีไขมันในเลือดสูง ออกกำลังสมอง ไม่เครียด และเข้าร่วมสังคม จะช่วยกระตุ้นให้สมองทำงาน ไม่เสื่อมสภาพเร็ว

การออกกำลังสมอง หรือ “นิวโรบิกส์ เอ็กเซอร์ไซส์” (Neurobics Exercise)
ศาสตราจารย์ แพทย์หญิงนันทิกา ทิวชาชาติ ภาคจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บอกว่า การออกกำลังสมอง หรือ “นิวโรบิกส์ เอ็กเซอร์ไซส์” นั้น จะเป็นการฝึกให้สมองส่วนต่าง ๆ มีการทำงานที่ประสานสัมพันธ์กัน ทำให้ระบบการทำงานของสมองและมีพลังขึ้น เพราะเมื่อมีการออกกำลังสมองบ่อย ๆ สมองก็จะมีการหลั่งสารที่เรียกว่า นิวโรโทรฟินส์ (Neurotrophins) ที่เปรียบเหมือน “อาหารสมอง” ที่ทำให้เซลล์โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของ “เดนไดรต์” (Dendrite) ที่เชื่อมระหว่างเซลล์ประสาททำงานดีขึ้น จึงเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เนื้อเซลล์เจริญเติบโต และเซลล์สมองแข็งแรง

และเมื่อเซลล์สมองแข็งแรง ก็จะทำให้เกิด “พุทธิปัญญา” (Cognitive Function) ที่หมายถึงความจำ สมาธิ การรับรู้ ที่ทำให้เกิดพฤติกรรมการแสดงออก รวมไปถึง “การทำงานระดับสูง” (Executive Function) คือ การคิด การแก้ไขปัญหา การตัดสินใจ และการวงแผนที่ดีขึ้น ทำให้การทำงานของสมองยังคงประสิทธิภาพดี แข็งแรง และชะลอความเสื่อมได้

หลักการทำงานของการออกกำลังสมอง หรือ นิวโรบิกส์ เอ็กเซอร์ไซส์ คุณหมออธิบายเพิ่มเติมว่า เกิดจากการกระตุ้นให้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 (Sensory Organs) ซึ่งได้แก่ การได้ยิน การมองเห็น การได้กลิ่น การลิ้มรส และการสัมผัส รวมไปถึงส่วนที่ 6 คือ อารมณ์ (Emotional Sense) ได้ทำงานเชื่อมโยงกัน เราสามารถทำทั้งหมดนี้ได้ด้วยการดำเนินกิจกรรมในชีวิตประจำวันของเราเป็นตัวช่วย เพียงแค่เปลี่ยนวิธีการให้ต่างไปจากเดิมเท่านั้น

ยกตัวอย่าง เช่น ปกติเราถนัดมือขวา หยิบจับอะไรก็จะใช้มือขวา ลองเปลี่ยนมาใช้มืออีกข้างทำแทน เนื่องจากพฤติกรรมการรับรู้ต่าง ๆ เกิดจากทำงานประสานกันระหว่างสมองซีกซ้ายและขวา ถ้าเราใช้แต่เพียงมอขวาเพียงข้างเดียว สมองด้านซ้ายซึ่งบังคับมือขวาจะได้รับการถูกกระตุ้นเพียงข้างเดียว แต่สมองส่วนขวาที่บังคับมือซ้ายไม่ค่อยได้ทำงาน และอาจเสื่อมไปได้ ดังนั้น การฝึกทำกิจกรรมต่าง ๆ ด้วยมือซ้ายจะช่วยให้สมองส่วนขวาได้รับการกระตุ้นและทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

วิธีการออกกำลังสมองแบบง่าย ๆ ทำได้ดังนี้


-ปิดตาทำกิจกรรม เช่น ปิดตาอาบน้ำ ปิดตาดูทีวี เพื่อเปลี่ยนความเคยชินในการรับข้อมูลจากประสาทสัมผัสเดิม ๆ ในที่นี้คือการฝึกประสาทสัมผัสในด้านการได้ยิน

-ปิดไฟในห้องแล้วใช้มือคลำ เพื่อกระตุ้นประสาทในส่วนสัมผัส

-สลับกิจกรรมที่เคยทำเป็นประจำตั้งแต่ตื่นนอน เช่น จากที่อาบน้ำก่อนกินข้าว ก็เปลี่ยนเป็นกินข้าวก่อนอาบน้ำ จะทำให้สมองใช้พลังงานในการทำสิ่งใหม่ ๆ มากกว่าตอนที่ทำกิจกรรมเดิม ๆ

**ระหว่างเดินทาง ก็บริหารสมองไปด้วย **

-ไม่เปิดแอร์ แต่เปิดกระจกขณะขับรถ เลือกบริเวณที่มีอากาศบริสุทธิ์ซักนิด เพื่อเชื่อมโยงประสาทรับกลิ่นและเสียงภายนอกให้ทำงานประสานกันมากขึ้น

-เปลี่ยนเส้นทางกลับบ้าน หรือเปลี่ยนวิธีการเดินทางดูบ้าง เพราะวิวทิวทัศน์ กลิ่น และเสียงของเส้นทางใหม่จะช่วยกระตุ้นสมองชั้นนอกและฮิปโปแคมปัสให้สร้างแผนที่เส้นทางชุดใหม่ขึ้นในสมอง เป็นการเพิ่มการทำงานของสมองให้มากกว่าปกติด้วย

ขณะทำงานก็ฝึกสมองได้ **

-เปลี่ยนตำแหน่งสิ่งของบนโต๊ะทำงาน เพื่อสร้างภาพใหม่ ๆ ในสมอง เพิ่มการทำงานของสมองให้มากขึ้น เพราะไม่คุ้นชิน ทำให้สมองต้องเรียนรู้มากขึ้น

-พุดคุยกับเพื่อนร่วมงานใหม่หรือคนที่ไม่ค่อยคุยด้วย ทั้งการจำใบหน้า น้ำเสียง หรืออุปนิสัยส่วนตัวของเพื่อนร่วมงานคนนั้น เป็นการเติมข้อมูลใหม่ ๆ ให้กับสมอง ทั้งนี้รวมถึงการชวนเพื่อนร่วมงานถกเถียง อภิปรายหรือพูดคุยในประเด็นที่ไม่เคยพูด เพื่อเปิดรับข้อมูลใหม่ ๆ เช่นกัน

-หากิจกรรมสนุก ๆ ทำ เพื่อการพัฒนาสมองทั้งซีกขวาและซีกซ้าย

นอกจากนี้วิธีการบริหารสมองที่กล่าวมาข้างต้น สามารถทำอย่างอื่นที่เป็นการฝึกพัฒนาสมองได้อีก เช่น วาดรูป สเก็ตช์ภาพต่าง ๆ จะเป็นการฝึกด้านจิตนาการให้กับสมอง ทำงานฝีมือ หรือประดิษฐ์สิ่งของต่าง ๆ ฟังเพลงภาษาต่าง ๆ เพื่อฝึกความสามารถด้านภาษาของสมองเพิ่มเติม หรือแม้แต่การเล่นปริศนาอักษรไขว้ เป็นต้น


อ่านเพิ่มเติมได้จาก: http://webboard.yenta4.com/topic/321741



วันพุธที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

อันตรายจากการใส่ "รองเท้าส้นสูง"


ผู้หญิง ความงาม และ การแต่งตัว ต่างเกิดมาเพื่อกันและกัน การที่ผู้หญิงคนหนึ่งลุกขึ้นมาแต่งเนื้อแต่งตัว ก็เพื่อเพิ่มความเด่น ลบความด้อย เสริมบุคลิกภาพในการเข้าสังคม โดยเฉพาะ รองเท้าส้นสูง ดูจะเป็นเครื่องแต่งกายชิ้นหนึ่งที่คุณผู้หญิงให้ความสำคัญ เมื่อสวมแล้วเดินสวยๆ เข้ากับเสื้อผ้าที่ใส่ยิ่งส่งให้ดูสง่าผ่าเผยขึ้นทันตา แต่การสวมรองเท้าส้นสูงบ่อย ๆ อาจทำให้เกิดปัญหาสุขภาพ ตามมาได้

จากการพูดคุยกับรองศาสตราจารย์ นายแพทย์ พงษ์ศักดิ์ ยุกตะนันท์ แผนกศัลยศาสตร์ออร์โธปิดิคส์ และกายภาพบำบัด โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ เผยถึงปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นกับคุณผู้หญิงที่สวมรองเท้าส้นสูงเป็นประจำ จะมีอาการ เช่น ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ เกิดโรคข้อนิ้วหัวแม่เท้าเสื่อม แข็ง เก ผิดรูปหรือซ้อน รวมทั้งอาจเกิดรอยด้านบริเวณผิวหนังที่ถูกเสียดสี เป็นตาปลา เกิดก้อนแข็ง ๆ ปูดนูนขึ้น เจ็บบริเวณเล็บ หรือเล็บขบ อีกทั้งขณะที่สวมรองเท้าส้นสูง อวัยวะบางส่วนของร่างกายต้องรับบทหนักเริ่มที่...

+ หลังส่วนกลาง : จะต้องบิดโค้งเพิ่มมากขึ้น
+ เชิงกราน : ถูกยกอย่างไม่สมดุล ทำให้กล้ามเนื้อบริเวณเชิงกรานอ่อนแอ
+ เข่า : ต้องรับน้ำหนักมากขึ้น อาจทำให้เกิดอาการปวด โรคกระดูก หรือข้อต่ออักเสบตามมา
+ น่อง : การเดินเขย่งจะทำให้กล้ามเนื้อน่องสั้นขึ้น
+ ข้อเท้า : การขยับข้อเท้าในขณะสวมรองเท้าอยู่นั้น หากทำผิดจังหวะ อาจทำให้ข้อเท้าแพลง
+ เท้า : ส่วนที่รับบทหนัก เพราะต้องรักษาดุลไปด้านหน้า ส่งผลต่อกระดูกที่ฝ่าเท้าอาจมีอาการปวดเมื่อย การใส่ส้นสูง เกิน 1 นิ้วครึ่งจะทำให้แนวกระดูกสันหลังช่วงล่างแอ่นมากกว่าปกติ ซึ่งจะนำมาสู่การปวดหลัง

อาการทั้งหมดที่กล่าวมา ไม่จำเป็นว่าจะต้องเกิดขึ้นกับคุณผู้หญิงทุกคนเสมอไป เพราะแต่ละคนมีรูปเท้า หรือลักษณะเท้าที่แตกต่างกัน เช่น รูปเท้าเรียว อวบนูน จะไม่ค่อยเกิดปัญหา แต่รูปเท้าแบนราบ มักเกิดอาการปวดเมื่อย ทั้งนี้เพราะฝ่าเท้าจะสัมผัสกับพื้นรองเท้ามากเป็นพิเศษ ประกอบกับพื้นรองเท้าส่วนใหญ่จะแคบ ทำให้เท้าถูกบีบรัดตัว ผู้มีรูปเท้าแบน จึงควรเลือกรองเท้าพื้นกว้าง ๆ จะปลายกว้างหรือปลายแหลมก็ได้

หากมีอาการปวดเมื่อยเท้า ควรแช่ด้วยน้ำอุ่นจัด ด้วยระดับน้ำที่สูงถึงครึ่งน่อง นาน 10-15 นาที พร้อมทั้งออกกำลังเท้าและนิ้วเท้า โดยกระดกปลายเท้าขึ้น-ลง เหยียดงอนิ้วเท้า หันฝ่าเท้าสลับเข้า-ออก หรือใช้มือบีบนวดบริเวณอุ้งเท้า ซึ่งเป็นส่วนที่มีเส้นเลือดและเส้นประสาทจำวนวนมาก จะช่วยบรรเทาอาการเมื่อยลงได้

สำหรับผู้ที่มีอาการเท้าแพลง เบื้องต้นในระยะ 1-2 วันแรก ใช้น้ำแข็งประคบ 5-10 นาที วันละ 2-3 ครั้ง พันด้วยผ้ายืด พักการใช้งานข้อเท้า หากอาการยังไม่ดีขึ้น ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อใช้งานเท้าหนัก ก็ควรดูแลเท้าด้วยวิธีง่าย ๆ ทำได้ที่บ้าน อย่างการทำ "สปาเท้า" เพราะแค่มีมะขามเปียก สบู่เหลวหรือสบู่ก้อน แปรงสีฟันเก่าที่เลิกใช้ สำลี โทนเนอร์ และโลชั่นน้ำนม ก็สามารถทำได้แล้ว เริ่มจากการขัดด้วยมะขามเปียก ตามด้วยสบู่ ขัดไปเรื่อยๆ ให้รู้สึกผ่อนคลาย นำแปรงสีฟันมาถูบริเวณรอยดำ รอยด้าน จากนั้นใช้สำลีชุบโทนเนอร์ ขัดบริเวณที่ด้าน เช่น ส้นเท้า สุดท้ายค่อยลงโลชั่นน้ำนมให้ทั่ว คุณก็จะได้เท้าที่สะอาด ผ่อนคลาย หากพอมีเวลาควรทำสปาเท้าอย่างน้อย 1 ครั้งต่อสัปดาห์

อ่านเพิ่มเติมได้จาก: http://webboard.yenta4.com/topic/342972